วันอังคารที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2558

เทคนิคง่ายๆ สำหรับการเรียนอังกฤษ จากไม่รู้ ให้เก่งทุกด้าน

วัสดีค่ะ เพื่อนๆชาวบล๊อก...วันนี้เจ้าของบล๊อกเกอร์ไปเจอบทความดีๆจากเว็บเด็กดีดอทคอม เกี่ยวกับ15 เทคนิคเรียนภาษาอังกฤษ จากไม่รู้...ให้เก่งทุกด้าน เลยอยากขออนุญาตเจ้าของบทความความรู้และเทคนิคดีๆนี้มาลงในบล๊อกเกอร์เพื่อเอามาแชร์ให้เพื่อนๆในบล๊อกเกอร์ได้อ่านกัน ซึ่งเขียนเรียบร้อยโดยพี่มิ้นท์คนเก่งของเรา อ่านแล้วน่าสนใจมาก 


    ก่อนอื่นเจ้าของบล๊อกเกอร์ของแสดงความคิดเห็นสักเล็กน้อยก่อนนะคะ ว่าถ้าพวกเราพูดถึงการเรียนภาษาอังกฤษ เจ้าของบล๊อกเกอร์เชื่อว่า เพื่อนๆหลายคนมักจะบอกว่า เกลียดภาษาอังกฤษ เรียนยาก ท่องเยอะ บ้างก็บอกว่าเรียนไปทำไมไม่ใช่ภาษาแม่เรานิ แต่เจ้าของบล๊อกเกอร์บอกเลยนะคะ ว่าณ ตอนนี้ภาษาอังกฤษสำคัญกับทุกคนมาก อยากให้เปิดใจมาเรียนภาษาอังกฤษกัน ส่วนบางคนที่ชอบเรียนภาษาอังกฤษอยู่แล้วก็บอกว่า เรียนภาษาอังกฤษให้ได้ผล ต้องฟัง พูด อ่าน เขียนได้ หรือ สื่อสารกับชาวต่างชาติได้แค่นั้นก็พอ แกรมม่าหรืออะไรที่ถูกยัดใส่หัวเพื่อท่องสอบ ไม่ต้องไปซีเรียส ไม่จำเป็น...เพื่อนๆชาวบล๊อกจะเห็นได้ว่ามีหลากหลายความคิดเห็นมาก

      แต่สิ่งที่พวกเขาเหล่านั้นพูดมาก็ไม่ผิด แต่เจ้าของบล๊อกเกอร์อยากให้เพื่อนๆอยากให้พวกโฟกัสว่า เราไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า จะใช้ภาษาอังกฤษให้มีประสิทธิภาพจริงๆ ทุกอย่างทุกทักษะ ไม่ว่าจะเป็นฟัง พูด อ่าน เขียน มันต้องไปด้วยกันค่ะ เชื่อกันไหมค่ะว่า บางคนสำเนียงดีมาก แต่พูดไวยากรณ์ผิดหมด บางคนแม่นไวยากรณ์มาก แต่พูดและฟังไม่ได้เลย ในขณะที่บางคนใช้ภาษาได้เป๊ะทุกด้าน เพื่อนๆชาวบล๊อกลองคิดตามดูสิคะ ว่า คนกลุ่มไหนที่เป๊ะที่สุด แค่นี้ก็รู้แล้วว่าใครได้เปรียบที่สุด
      

       เพราะฉะนั้นบล๊อกเกอร์ขอนำบทความจากพี่มิ้นท์คนเก่งจากเว็บเด็กดีดอทคอม ที่สรุปเทคนิคพัฒนาการเรียนภาษาอังกฤษ 3 พาร์ทมาฝากเพื่อนๆ นั่นก็คือ พาร์ทแกรมม่า คำศัพท์ และบทสนทนาค่ะ
  .....มาเปิดใจอ่านและเรียนรู้เทคนิคดีๆจากพี่มิ้นท์ไปพร้อมๆกันเลยคะ!!...



  5 เทคนิคเก่ง Grammar  
- พื้นฐานง่ายๆ ต้องแม่น

           ภาษาอังกฤษก็เหมือนภาษาไทย ที่จำเป็นต้องรู้พื้นฐานก่อน คำนาม คำกริยา คำวิเศษณ์ กริยา 3 ช่อง พื้นฐานพวกนี้ถือว่าจำเป็นมากๆ สำหรับการเรียนแกรมม่าเลยก็ว่าได้ เพราะต้องใช้ต่อยอดแกรมม่าเรื่องอื่น จะเรียนเรื่อง Tense แต่ละ Tense ก็ใช้ Verb คนละช่อง ก็ต้องรู้จักเลือกใช้ให้ถูก เป็นต้น



    - กฎเหล็ก ข้อยกเว้น ต้องจำได้
            หลายคนตกม้าตายเรื่องข้อยกเว้น แกรมม่าเป็นเรื่องของหลักภาษาที่ค่อนข้างซับซ้อน กำหนดมาเป็นอย่างดีว่าต้องใช้แบบนี้ๆ แต่สุดท้ายก็จะมีข้อยกเว้นแปะท้ายให้ปวดกบาลคนเรียนเล่นๆ ยกตัวอย่างง่ายๆ นะคะ การเปลี่ยนคำนามเอกพจน์ให้เป็นพหูพจน์ เรียนกันมาว่าให้เติม s, es ถ้าลงท้ายด้วย o ให้เติม es ได้เลย แต่ก็มีข้อยกเว้น อย่างเช่น photo สามารถใช้ photos ได้เลย ไม่ใช่ photoes เป็นต้น
    - มีตัวอย่างเสริม
            แกรมม่าภาษาอังกฤษมีเยอะพอๆ กับหลักภาษาไทย จะให้ท่องจำแต่หลักหรือโครงสร้างก็น่าเบื่อเกินไป ลองวิธีนี้สิคะ หาตัวอย่างประโยคของหลักนั้นๆ เป็นโมเดลประโยค ท่องจำจะได้ง่ายขึ้นค่ะ ประมาณว่าคิดถึงโครงสร้างนี้ ท่องประโยคนี้ขึ้นมา ก็จะรู้ได้ว่าโครงสร้างมันเป็นยังไง ก็เหมือนกับเราท่องเสียงลือเสียงเล่าอ้าง เป็นต้นแบบของโครงสี่สุภาพนั่นเอง

    - อ่านเองไม่รู้เรื่อง ต้องเข้าใจตั้งแต่ในห้องเรียน
            ถ้ารู้ตัวว่าเรียนรู้อะไรช้า ยิ่งเป็นแกรมม่ายากๆ อ่านเองไม่เข้าใจ ก็ควรตั้งใจเรียนตั้งแต่ในห้องเรียน เพราะอาจารย์แต่คนจะมีเทคนิคการจำแตกต่างกัน ฟังให้เข้าใจตั้งแต่ในคาบและจดเทคนิคการจำไว้ด้วย กลับมาอ่านเองทีหลังจะได้ง่ายขึ้น


    - อัพเกรดอ่านหนังสือภาษาอังกฤษ
             วิธีนี้ถือว่าได้ประโยชน์ระยะยาวค่ะ หัดอ่านหนังสือเรื่องสั้น นิยาย หนังสือพิมพ์ ที่เป็นภาษาอังกฤษ หรืออ่านข่าวจากเว็บไซต์ต่างประเทศก็ได้ สื่อพวกนี้เราได้ทั้งศัพท์แปลกๆ ใหม่ๆ ยังได้เรียนรู้แกรมม่าด้วย

  5 เทคนิคเก่ง Vocabulary
   

 - มองทุกอย่างเป็นศัพท์ภาษาอังกฤษ

           ทางลัดอย่างนึงของการรู้คำศัพท์เยอะคือการทบทวนบ่อยๆ แต่บางคนไม่มีเวลามานั่งท่องศัพท์ตลอดเวลา ไม่มีแรงกระตุ้นด้วย ก็ลองใช้วิธีนี้ดูค่ะ คือ มองทุกอย่างให้เป็นภาษาอังกฤษ เดินไปตลาด เจอของตามทางก็นึกเป็นศัพท์ภาษาอังกฤษ อันไหนไม่ได้ ก็จำไว้แล้วมาเปิดดิคชันนารีที่บ้าน

   
 - หาคำควบคู่ หรือ ตรงข้ามไว้ด้วย
          เป็นการเรียนรู้ศัพท์แบบก้าวกระโดดค่ะ คือ รู้ศัพท์คำนึงแล้ว ให้หาคำศัพท์ที่ความหมายเหมือนกันและตรงข้ามกันมากองเป็นกลุ่มคำไว้ เวลาท่องจำทีนึงจะได้ไปพร้อมๆ กันทีเดียว เราก็ได้ศัพท์มากขึ้นในเวลาที่น้อยลง

     - crossword puzzle

          เป็นเกมที่หลายคนคงเคยเล่น แต่เล่นเป็นภาษาไทย เกมนี้วัดความรู้คำศัพท์อย่างแท้จริงเลยค่ะ ลักษณะเกม คือ เป็นตารางคำศัพท์ มีช่องตามพยัญชนะของคำต่อกันหลายๆ คำ แล้วเราก็มาอ่านคำอธิบายด้านล่าง จากคำอธิบายต้องนึกให้ออกว่าเป็นคำว่าอะไร ฝึกเกมนี้บ่อยๆ ได้ฝึกทั้งเรื่องคำศัพท์และแปลความด้วยค่ะ

    - เตรียมสมุดจดศัพท์ที่ไม่คุ้นเคย
           เพิ่มสมุดจดศัพท์ลงในกระเป๋าอีกชิ้นคงไม่หนักอะไรมากนะคะ เอาไว้จดคำศัพท์ที่เราไปเจอมาแล้วไม่รู้ความหมาย เพื่อที่ว่ากลับมาบ้านมาก็หาความรู้เพิ่ม จดทุกวันๆ สมุดเล่มนี้จะเหมือนคัมภีร์คำศัพท์ที่คัดมาแล้วว่าเราเจอในชีวิตประจำวันจริงๆ

   
 - ฝึกสร้างประโยคจากศัพท์

          คล้ายกับเทคนิคเรียนแกรมม่า แต่เพิ่มสกิลการเขียนอีกนิดนึง น้องๆ สามารถหาตัวอย่างประโยคแกรมม่าจากหนังสือเรียนได้ แต่การสร้างประโยคจากคำศัพท์ แนะนำให้น้องๆ ฝึกแต่งประโยคขึ้นมาเอง จะเริ่ดมากค่ะ

  5 เทคนิคเก่ง Conversation & Speaking
    - อย่ากลัวพูดผิด
            ความกลัวทำให้เราไม่กล้า และการที่เราพูดผิดก็ไม่ได้ทำให้โลกแตกซะหน่อย ดีไม่ดี คู่สนทนาเราอาจจะอยากช่วยเหลือเราก็ได้ ก็เหมือนกับฝรั่งมาพูดภาษาไทยผิดๆ ถูกๆ ฟังดูน่ารักกรุ้มกริ่ม อยากให้ความช่วยเหลือ ซึ่งฝรั่งหลายคนเรียนรู้ภาษาที่สามได้เร็วมาก เพราะมีความกล้านั่นเอง

 
   - หาตัวช่วยฝึกออกเสียง
          สำเนียงการพูดอาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ถ้าสำเนียงเป๊ะ ก็เป็นประโยชน์ต่อการสื่อสาร เราและคู่สนทนาก็ฟังกันเข้าใจมากขึ้น เพราะบางครั้งไม่ใช่แค่สำเนียงที่ฟังยาก แต่การออกเสียงคำอาจจะผิดด้วย ดังนั้นต้องหาตัวช่วยเพื่อการออกเสียงที่ดีของเราค่ะ เช่น ทอล์คกิ้งดิคชันนารี หรือจะเปิดดิคบนเว็บแล้วกดรูปลำโพงเพื่อฟังเสียง หรือทางลัดสุดคือ หาเพื่อนชาวต่างชาติมาคุยด้วยซะเลย จะได้ฝึกอย่างเต็มที่ ไม่ต้องมานั่งอายเวลาออกเสียงด้วย

 
   - อย่านึกเป็นภาษาไทย
         น้องๆ คงเคยได้ยินคำว่า ฝึกคิดแบบฝรั่งจะได้พูดแบบฝรั่ง อันนี้เป็นเรื่องจริงเลยค่ะ เพราะการที่เราคิดเป็นภาษาไทยทำให้เรายึดติดกับไวยากรณ์ภาษาไทย นั่งคิดศัพท์ที่ตรงกับภาษาไทยเป๊ะๆ ทำให้ช้าและสำนวนที่ออกมาจะดูฝืนๆ ด้วยค่ะ

   
 - ก่อนพูดต้องฝึกฟังด้วย
         แม้เราจะฝึกพูด แต่ก็อย่าลืมให้ความสำคัญกับการฟัง การฟังไม่ว่าจะเป็นจากคนที่เราคุยด้วย หรือ การดูตามสื่อต่างๆ จะช่วยรู้จังหวะการพูด การเลือกใช้คำพูดตามสถานการณ์ และที่สำคัญถ้าสนทนากับคนอื่นจริงๆ การฟังจะช่วยให้เราคุยกันถูกเรื่อง ไม่ใช่สักแต่ว่าพูด พูดกันคนละเรื่องก็จะพูด จะทำให้คู่สนทนาเบื่อเราค่ะ



    - ดูหนังฝรั่งที่บ้าน ฝึกพูดตาม
         วิธีนี้เบสิคและน่าทำตามที่สุด แถมยังฝึกคนเดียวได้ด้วย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการฝึกพูดจริงๆ ค่ะ เลือกซื้อซีดีหนัง soundtrack แนวที่เราชอบดู แรกๆ เปิดดูแบบมีซับไตเติ้ลไปก่อน รอบสองรอบสามก็ฟังแบบไม่มีซับและฝึกพูดตามเสียงที่ได้ยิน ที่พี่มิ้นท์บอกว่าวิธีนี้น่าทำตามที่สุด เพราะเมื่อต้องการฝึกภาษาจริงๆ เราสามารถกด pause เพื่อฝึกพูดตามได้นั่นเอง
      เป็นอย่างไรบ้างค่ะ เพื่อนๆชาวบล๊อกเกอร์ชอบวิธีไหน ถนัดวิธีไหน ลองไปฝึกกันนะคะ การเรียนภาษาที่สามให้เก่ง ไม่ได้ฝึกกันวันสองวัน ซื้อก็ไม่มีขาย อยากได้ต้องฝึกกันเองค่ะ บางคนเสียตังค์ไปหลายหมื่นแต่ไม่มีความพยายามพอก็ไม่ได้ผลเหมือนกัน ในขณะที่บางคนไม่ได้เสียตังค์สักบาท แต่สู้อุตส่าห์หาความรู้ในเน็ตก็เก่งได้
       สุดท้ายนี้อยากฝากข้อคิดดีๆอย่างที่พี่มินท์ได้บอกไว้ว่า
 "วิธีการ" ไม่สำคัญเท่า "ความพยายาม" นะคะ แต่ถ้ามีวิธีการที่ดี + ความพยายามที่มากพอ เชื่อว่ามันจะออกมาดีมากๆ ค่ะ เจ้าของบล๊อกเกอร์หวังว่าบทความชุดนี้จะมีประโยชน์ต่อเพื่อนๆที่ได้แวะเข้ามาอ่านไม่มากก็น้อย

                                                  สู้ๆ นะคะทุกคน



ขอขอบคุณข้อมูลดีจาก พี่มิ้นท์ ผู้ดูแลบทความนี้ >>http://www.dek-d.com/education/37384/

วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2558

สำนวนภาษาอังกฤษ ในชีวิตประจำวัน

         สวัสดีค่ะ ยินดีต้อนเพื่อนๆเข้าสู่บล๊อกที่รวบรวมเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับภาษาอังกฤษ ซึ่งภาษาอังกฤษเป็นภาษาสากลและเป็นภาษาที่ถูกบัญญัติใช้เป็นภาษากลางในประชาคมอาเซียนเพราะฉะนั้นจึงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าภาษาอังกฤษสำคัญมากแค่ไหน ดังนั้นวันนี้เจ้าของบล๊อกเกอร์จึงอยากนำเสนอบทความแรก ที่เป็นความรู้ เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับภาษาอังกฤษมาฝากเพื่อนๆ กันคะ เป็นสำนวนภาษาอังกฤษที่มักเจอในชีวิตประจำวัน ซึ่งเราควรรู้ไว้ เผื่อไว้พูดกับชาวต่างชาติ หรือจะนำไปสนทนากับเพื่อนๆ แค่นี้เราก็ได้คำศัพท์ สำนวนเพิ่มมาอีกตั้งหลายคำเลยนะ
30 สำนวนภาษาอังกฤษ คำสแลงที่มักเจอในชีวิตประจำวัน

30 สำนวนภาษาอังกฤษ คำสแลงที่มักเจอในชีวิตประจำวัน 

1. “Twenty-four Seven”  สำนวนนี้หมายความว่าอะไร เนื่องจากหนึ่งวันมี 24 ชั่วโมง และหนึ่งอาทิตย์ก็มี 7 วัน
สำนวนนี้จึงมีความหมายว่า “ตลอดเวลา ทุกๆนาทีของทุกๆวัน” ค่ะ
2.  “Get the ball rolling” ความหมายของสำนวนนี้ก็คือ “เริ่มทำอะไรสักอย่าง” แค่จำไว้ว่า “Let’s get the ball rolling” ความหมายเท่ากับ “Let’s start now-เราเริ่มกันเถอะ”
3. “Take it easy”  ถ้ามีคนพูดกับคุณว่า “I don’t have any plans this weekend.  I think I’ll take it easy.” ความหมายของสำนวนนี้ก็คือ “ผ่อนคลาย” หรือ “พักผ่อน” ค่ะ สำนวนนี้ก็เข้าใจง่ายเหมือนกันค่ะ “I’m going to take it easy.”ความหมายก็คือ “I’m going to relax.-ฉันจะพักผ่อนสักหน่อย”
4. “Sleep on it” ถ้ามีคนๆหนึ่งพูดว่า “I’ll sleep on it.” ความหมายของเขาก็คือ “ฉันขอใช้เวลาในการตัดสินใจสักหน่อย” เพราะฉะนั้น ถ้ามีคนพูดกับคุณว่า “I’ll get back to you tomorrow.  I have to sleep on it.” ความหมายของเขาก็คือ“ฉันขอเวลาตัดสินใจสักหน่อย แล้วจะบอกคำตอบพรุ่งนี้” เพราะฉะนั้น “Sleep on it คือ ขอเวลาตัดสินใจแล้วจะบอกคำตอบทีหลัง” ค่ะ
5. “I’m broke.” อันนี้ได้ยินบ่อยมากๆเลยค่ะ สำนวนนี้ไม่ได้หมายความว่ามีร่างกายส่วนหนึ่งส่วนใดเสียหรือใช้การไม่ได้แต่ความหมายจริงๆของสำนวนนี้ก็คือ “ฉันไม่มีเงินเลย” หรือ “ถังแตก” นั่นเองค่ะ “I’m broke.” เท่ากับ “I have no money– ฉันไม่มีเงินเลย” สำนวนนี้ใช้กันมาก และได้ยินกันบ่อยๆค่ะ
6. “Sharp” เมื่อใช้กับเวลา ยกตัวอย่างเช่น “The meeting is at 7 o’clock sharp!” คุณว่าหมายความว่าอะไรคะ ความหมายก็คือ “การประชุมจะเริ่มตอนเจ็ดโมงเป๊ะ” เวลามีคนใช้คำว่า “Sharp” ตามหลังเวลาพูดกับคุณ ความหมายก็คือเขาต้องการย้ำเวลานั้นๆ และบอกคุณว่า “อย่ามาสายนะ”
7. “Like the back of my hand”  ความหมายของสำนวนนี้คืออะไร “the back of my hand หรือ หลังมือของตัวเอง”
เป็นสิ่งที่ตัวเองต้องคุ้นเคยเป็นอย่างดี คุณรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับหลังมือคุณ คุณเห็นอยู่ทุกวัน เพราะฉะนั้นถ้าฉันพูดว่า “I know this city like the back of my hand.” ความหมายของฉันก็คือ “ฉันรู้จักเมืองนี้ดีมากๆ ฉันคุ้นเคยกับเมืองนี้” สำนวนนี้ก็ใช้กันบ่อยมากค่ะ เราอาจปรับเปลี่ยนใช้สำนวนนี้ได้ว่า “He knows this city like the back of ‘his’ hand” ก็ได้นะคะ ความหมาย
ก็จะยังเหมือนกัน ก็คือ “รู้เรื่องใดเรื่องหนึ่งดี หรือ คุ้นเคยเป็นอย่างดี” ค่ะ
8. “Give me a hand.” ถ้ามีคนพูดกับคุณว่า “Do you want to give me a hand?” เขาหมายความว่า “Do you want
to help me?” สมมุติว่ามีคนๆหนึ่งถือของมา แล้วเขาพูดว่า “Would you give me a hand?” เขาไม่ได้ขอมือคุณเฉยๆนะคะ เขากำลังขอให้คุณช่วยเขาหน่อยค่ะ “Would you give me a hand?” คือ “Would you help me?-คุณช่วยฉันหน่อยได้ไหม”
9. “In ages” ยกตัวอย่างเช่นใช้ในประโยคว่า “I haven’t seen him in ages” ความหมายของ “in ages” ก็คือ “for a long time-เป็นเวลานานมาก” นั่นเองค่ะ เพราะฉะนั้น “I haven’t seen him in ages” ก็เท่ากับ “I haven’t seen him for a long time-ฉันไม่ได้เจอเขามานานมากแล้ว” จำไว้นะคะ “in ages” แปลว่า “เป็นเวลานานมาก”
 10. “Sick and tired” สำนวนนี้แปลได้ว่า “ไม่ชอบ หรือ เกลียด” ค่ะ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณพูดว่า “I’m sick and tired of doing homework.” ความหมายก็คือ “ฉันไม่อยากทำการบ้านแล้ว ฉันไม่ชอบทำการบ้านเลย”
30 สำนวนภาษาอังกฤษ คำสแลงที่มักเจอในชีวิตประจำวัน
30 สำนวนภาษาอังกฤษ คำสแลงที่มักเจอในชีวิตประจำวัน
11. “behind one’s back”  แปลว่า พูดหรือกระทำโดยอีกคนหนึ่งไม่รู้ตัว หรือ พูดลับหลัง ตัวอย่างเช่น Pete loves to gossip Jay behind his back. (พีทชอบที่จะนินทาเจลับหลัง โดยเขาไม่รู้ตัว)
12. “turn one’s back on”  แปลว่า ไม่สนใจ ไม่ช่วยเหลือ ทอดทิ้ง  ตัวอย่างเช่น John never turn his back on his girlfriend when she needs help. (จอห์นไม่เคยไม่เคยทอดทิ้งเฉยเมยต่อแฟนสาวของเขา เมื่อเธอต้องการความช่วยเหลือ)
13. “get back at”  แปลว่า แก้แค้น แก้เผ็ด เอาคืน ตัวอย่างเช่น If it takes me 10 years I will get back at him.
(ถึงแม้จะต้องเสียเวลาสัก 10 ปี ผมก็จะต้องแก้แค้นมัน)
14. “hold something back”  แปลว่า ซ่อน ไม่เปิดเผย ไม่เต็มใจเปิดเผย ตัวอย่างเช่น I could tell from his nervousness that he was holding back something. (ฉันสามารถจะบอกจากอาการตื่นเต้นของเขาได้ว่า เขากำลังปิดบังอะไรบางอย่าง)
15. “be my guest” แปลว่า พูดหรือทำตัวตามสบาย ไม่ต้องเกรงใจกัน
16. “be oneself” แปลว่า เป็นปกติธรรมดา “You haven’t been yourself lately. Is anything wrong?” (เธอดูเหมือนมีเรื่องไม่ค่อยสบายใจ มีอะไรรึเปล่า)
17. “be tired of” แปลว่า รำคาญ เบื่อ เช่น I was tired of working for other people, so now I’m self-employed.
(ผมเบื่อที่เป็นลูกจ้าง ขณะนี้ได้ออกมาทำกิจการของตนเองแล้ว)
18. “beyond hope” แปลว่า ไม่มีโอกาสที่จะดีขึ้น ตัวอย่างเช่น Everyone has tired to help him with his drink problem, but I think he is beyond hope. (ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเขาได้พยายามทุกวิถีทางที่จะช่วยให้เขาพ้นจากปัญหาดื่มเหล้า แต่ฉันว่าไร้ประโยชน์)
19. “big-headed” แปลว่า หยิ่งยะโส ตัวอย่างเช่น  “Here she comes! she always boasts about her success. I don’t know why she’s so big-headed.” (นี่ไงล่ะ คนที่ชอบคุยโวว่าตัวเองเก่ง ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงชอบอวดตัวเองนัก)
20. “A great deal” แปลว่า จำนวนมาก มากมาย ตัวอย่างเช่น We’ve heard a great deal about you.
(พวกเราได้ยินเรื่องเกี่ยวกับคุณมากมาย)
30 สำนวนภาษาอังกฤษ คำสแลงที่มักเจอในชีวิตประจำวัน
30 สำนวนภาษาอังกฤษ คำสแลงที่มักเจอในชีวิตประจำวัน
21. “After all”  แปลว่า อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ตัวอย่างเช่น But after all, they are our children.
(แต่อย่างไรก็ตามพวกเขาก็เป็นลูกๆ ของเรานะ)
22. “After one’s own heart” แปลว่า ได้ดังใจ สมใจคิด ถูกใจจริงๆ ตัวอย่างเช่น I love you, boy. You are always
 a child after my own heart. (พ่อรักลูกนะ ลูกเป็นลูกที่สมใจพ่อเสมอ)
23. “All over the place ” แปลว่า ทั่วทุกที่ ทุกหนทุกแห่ง กระจัดกระจาย เกลื่อน ตัวอย่างเช่น Your books are all over the place. (หนังสือของคุณวางอยู่ทั่วไปหมด)
24. “Around the corner” แปลว่า  อยู่ใกล้ๆ อยู่ไม่ไกล ใกล้เข้ามาแล้ว ตัวอย่างเช่น The examination is right around the corner. (การสอบใกล้เข้ามาเต็มทีแล้ว)
25. “As a matter of fact” แปลว่า อันที่จริง ตามที่จริง จริงๆ แล้วตัวอย่างเช่น As a matter of fact, l don’t like them either. (อันที่จริงแล้วฉันก็ไม่ชอบพวกเขาเหมือนกัน)
26. “As far as I am concerned” แปลว่า ตามความเห็นของฉัน ตามความคิดฉัน เท่าที่ทราบ ตัวอย่างเช่น As far as I am concerned, he should get fired. (ตามความเห็นฉันนะ เขาควรจะถูกไล่ออก)
27. “Watch your mouth” แปลว่า ระวังปาก ระวังคำพูด มีความหมายเดียวกับ Watch your tongue
28. “Let the cat out of the bag” แปลว่า หมายถึง หลุดปากเผยความลับออกมา ตัวอย่างเช่น  “I let the cat out of
the bag about their wedding plans.”
29. “To feel under the weather”  หมายถึง ไม่สบาย ป่วย ตัวอย่างประโยค “I’m really feeling under the weather today; I have a terrible cold.”
30. “Jack of all trades” หมายถึง คนที่รู้ทุกอย่าง รู้ทุกเรื่อง แต่ไม่เก่งจริงสักอย่าง ตัวอย่างประโยค “A jack of all trades,master of none.” แปลว่า รู้ไปหมด แต่ไม่เก่งสักอย่าง

ขอบคุณข้อมูล http://www.trueplookpanya.com/true/knowledge_youtube.php?youtube_id=181
,http://www.wegointer.com/2014/11/20-idioms/

http://teen.mthai.com/education/83291.html